ผู้เขียนบท: มิเคย์ลา บอลด์วิน
เรียบเรียงโดย: เอริค กอนซาเลซ
แปลโดย : ขวัญ จิตรคง
วัดพุทธที่สร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันและเชี่ยวชาญตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางเทือกเขาหิมาลัยที่ตั้งสงบเงียบที่มองเห็นได้ในระยะไกล ขณะที่เราเดินผ่านทางเข้าลานวัด ก็พบกับความยิ่งใหญ่อันน่าหลงใหล ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมของอาคาร สีสันที่สดใส ความสะอาด และความเป็นระเบียบเรียบร้อย ทุกอย่างล้วนทำด้วยความตั้งใจและเอาใจใส่ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ฉันประหลาดใจมากเมื่อมองดูรอบๆแล้วฉันได้เห็น ผู้คนมากมายที่สวมชุดสีแดง มีทั้งเณรวัย 5 ขวบ ไปจนถึงพระภิกษุผู้ใหญ่ที่สวมจีวรพระแบบทิเบต ฉันไม่เคยเห็นสถานที่เช่นนี้มาก่อน เป็นสถานที่ที่ผู้คนมาเรียนรู้และสวดภาวนา เพื่อค้นหาความหมายในโลกที่ไม่มีความหวังหรือความจริงเลย พวกเขาไม่รู้เลยว่าความหวังและความจริงที่แท้จริงนั้นมีอยู่ในพระเยซูคริสต์เท่านั้น
เราถูกพาเข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของวัดพุทธ และขณะอยู่ข้างในเราก็เห็นพ่อกับลูกชายนั่งลงด้วยกันบนม้านั่งที่เก่าๆทรุดโทรม ฉันเห็นชายคนนั้นหลับตา ก้มศีรษะ และยกมือขึ้นใกล้หน้าอกเพื่ออธิษฐาน สายตาของลูกชายคนเล็กของเขามองดูเรียนรู้ทุกการเคลื่อนไหวของพ่อของเขา ซึ่งทำให้ฉันนึกถึงตอนที่ฉันยังเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ อายุประมาณ 5 ขวบ และพ่อของฉันสอนฉันให้อธิษฐาน เราคุกเข่าลงบนพื้นด้วยกันขณะที่พ่อนำฉันอธิษฐานเพื่อขอให้พระเยซูทรงสถิตอยู่ในใจฉัน ฉันจินตนาการว่าพวกคุณบางคนมีเรื่องราวคล้าย ๆ กัน ซึ่งมีคนนำคุณไปสู่การอธิษฐานต่อพระเยซูพระเจ้าที่แท้จริงของเรา
แต่พ่อคนนี้ที่ฉันเห็นในวัดไม่ได้อธิษฐานถึงพระเยซู ฉันมองดูเด็กชายเงยหน้าขึ้นมองพ่อของเขาแล้วก้มลงมองมือของเขาเองแล้วยกมันขึ้นแบบเดียวกับที่พ่อของเขาทำ จากนั้นเขาก็หลับตาลง เขาเริ่มอธิษฐาน เด็กชายคนนี้เพิ่งเรียนรู้พิธีกรรมที่สืบทอดกันมาหลายร้อยชั่วอายุคน มันจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแสวงหาตลอดชีวิตของเด็กชายในขณะที่เขาสละชีวิตเพื่อดำเนินตามแนวทางพุทธศาสนาแบบทิเบตเพื่อแลกกับคำสัญญาเทียมเท็จที่จะนำไปสู่บรรลุ นิพพาน: ความว่างเปล่า มันเป็นภาพลวงตาที่ผู้คนหลายแสนคนในทุกวันนี้ยังคงหลงงมงายและมืดบอด น้ำตาฉันไหลอาบแก้มเมื่อมองดูพ่อและลูกชาย ฉันอธิษฐานขอให้พระเจ้าเปิดตาใจของพวกเขา “ถ้าคนตาบอดนำทางคนตาบอด ทั้งสองคนจะตกลงไปในบ่อ” (มัทธิว 15:14)
“มันจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแสวงหาตลอดชีวิตของเด็กชายในขณะที่เขาสละชีวิตเพื่อดำเนินตามแนวทางพุทธศาสนาแบบทิเบตเพื่อแลกกับคำสัญญาเทียมเท็จที่จะนำไปสู่บรรลุ นิพพาน: ความว่างเปล่า”
โดยผ่านภาพอันเจ็บปวดหัวใจที่ฉันเห็นในวัดพุทธ พระเจ้าทรงเน้นพระบัญชาอันยิ่งใหญ่ พระบัญชาของพระองค์สั่งให้เรา “ออกไปและสั่งสอนพวกเขาให้เชื่อฟังทุกสิ่งที่พระเจ้าบัญชา” คนส่วนใหญ่มารู้จักพระเยซูผ่านทางคำพยานชีวิตของผู้เชื่อและพระคัมภีร์ที่คนอื่นพูด เราได้รับการบอกเล่าเกี่ยวกับพระองค์ พระคุณแห่งความรอดของพระองค์ และพระวิญญาณทรงเปิดตาของเราให้มองเห็น พวกเราน้อยคนนักที่จะพูดได้ว่าเราได้รับการเปิดเผยและเชื่อโดยบังเอิญ พระเยซูทรงตั้งใจที่จะใช้เราเป็นภาชนะสำหรับข่าวประเสริฐและสั่งสอนผู้อื่นให้ติดตามพระองค์อย่างซื่อสัตย์ นี่คือเหตุผลที่เราจะยังคงไปสู่ประชาชาติที่ข่าวประเสริฐยังเข้าไม่ถึง “แต่พวกที่ยังไม่เชื่อในพระองค์ จะทูลขอต่อพระองค์ได้อย่างไร? และพวกที่ยังไม่ได้ยินถึงพระองค์ จะเชื่อในพระองค์ได้อย่างไร? และเมื่อไม่มีผู้ประกาศ เขาจะได้ยินถึงพระองค์อย่างไร? (โรม 10:14)
ทริปสำรวจที่วายแวมตรังถูกส่งออกไปเป็นส่วนสำคัญของภารกิจดังกล่าว พวกเขากำลังวางรากฐานในประเทศเหล่านี้และเป็นการสำแดงออกถึงการเชื่อฟังต่อพระบิดาผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักของเราด้วยการกระทำ เราปรารถนาว่าการเดินทางในทริปนี้จะสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับผู้เชื่อคนอื่นๆ ที่ทำงานในพื้นที่สีแดง Neediest Red ในที่ซึ่งข่าวประเสริฐยังเข้าไม่ถึง และจะเป็นเวลาหลายปีต่อจากนี้ที่เราจะได้ทำงานรับใช้พระเจ้าร่วมกัน โดยปรารถนาที่จะเห็นทุกเผ่า ทุกภาษา และทุกชาตินมัสการพระเยซู เราตระหนักได้ว่าอินเดียและเนปาลเป็นประเทศที่สวยงามอย่างไม่น่าเชื่อ เต็มไปด้วยผู้คนที่ใจดีและมีอัธยาศัยดีที่สุดเท่าที่เราเคยพบมา แต่พวกเขาก็เหมือนกับคนอื่นๆ อีกหลายคนที่ต้องการความจริงและความหวังซึ่งมีอยู่ในพระเยซูเป็นอย่างมาก หากไม่มีใครส่งคนงานของพระองค์ไป ชนชาติเหล่านี้จะยังคงอยู่ในความมืดมิดด้านจิตวิญญาณ เราอธิษฐานว่าผ่านทางการเชื่อฟังของวายแวมตรัง ซึ่งมุ่งความสนใจไปที่พื้นที่สีแดงที่ขัดสนข่าวประเสริฐที่สุด เมล็ดพันธุ์แห่งข่าวประเสริฐจะถูกหว่านออกไปและเติบโตขึ้น และนำมาซึ่งการเก็บเกี่ยวอันอุดมสมบูรณ์เพื่อพระคริสต์ในปีต่อๆ ไป
““สร้างสาวกสู่ทุกบรรดาประชาชาติ ด้วยการระดมรวบรวมผู้คน สร้างสาวกและออกไปประกาศข่าวประเสริฐ”
Comments